- มีการระบุข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค เช่น คำบรรยายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, เว็บไซต์, ที่อยู่สำหรับติดต่อ รวมถึงช่วงเวลาในการทำงาน
- เลือกภาพ Cover ให้มีความเหมาะสม ซึ่งภาพที่ใช้ควรมีสีสันสดใสและหากเป็นภาพที่มีใบหน้าคนอยู่ในภาพจะยิ่งช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็นมากขึ้น และสิ่งสำคัญก็คือภาพ Cover จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- เลือกภาพโปรไฟล์ (Profile Picture) ที่มีความโดดเด่นสะดุดตา เพื่อเพิ่มการจดจำแบรนด์ของผู้พบเห็นได้ดียิ่งขึ้น
- หมั่นพูดคุยและตอบคำถามกับแฟนเพจรวมถึงผู้ติดตาม (Follow) ผ่านการคอมเมนต์ เพื่อเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์และสร้างทัศนคติด้านบวกของแฟนเพจที่มีต่อแบรนด์
- กระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค (Engagement) เช่น การกด Like, คอมเมนต์และแชร์โดยใช้การตั้งคำถาม รวมถึงนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการดึงดูดความสนใจ
- ใช้รูปภาพมาช่วยในการนำเสนอบนเพจ โดยผลการสำรวจพบว่า การโพสต์โดยใช้รูปภาพนั้น เป็นรูปแบบที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบมากที่สุด ซึ่งส่งผลทำให้มีแนวโน้มในการ Like และแชร์ต่อเพิ่มขึ้น
- มีการโพสต์และนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาหลากหลายและน่าสนใจ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ผู้อ่านรู้สึกไม่เบื่อหน่ายและจำเจ
- โพสต์ข้อความและเนื้อหาให้มีความสั้น, กระชับ, ชัดเจนและถูกต้อง หลีกเลี่ยงการโพสต์ที่มีความยาวมากเกินไป หรือมีแต่น้ำไม่มีเนื้อนั่นเอง
- โพสข้อความหรืออัพเดทบน Facebook Page ในปริมาณที่เหมาะสมหรือเฉลี่ยไม่เกิน 2-4 ครั้งต่อวัน ซึ่งหากโพสมากเกินไปอาจทำให้แฟนเพจเกิดความรำคาญและอาจกด Unlike เพจได้
- สร้างเพจให้มีความน่าสนใจยู่เสมอ เช่น มีการแสดงหรือนำเสนอโชว์ที่น่าสนใจหรือเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้
- มีความซื่อสัตย์และความจริงใจต่อผู้บริโภค ซึ่งหมายถึง หากมีคอมเมนต์หรือแสดงความคิดเห็นในด้านลบจากผู้บริโภค แบรนด์ควรมีการนำเสนออย่างตรงไปตรงมา รวมถึงยอมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและนำข้อผิดพลาดนั้นไปแก้ไข
- มีการอัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ โดยข้อมูลนำเสนอต้องมีความสัมพันธ์กับแบรนด์และต้องเป็นข้อมูลผู้ชมต้องการติดตาม
- มีการดูแลเพจที่เหมาะสม เช่น การลบสแปมหรือสิ่งรบกวน แต่ไม่ควรลบคอมเมนต์ที่มีการแสดงความคิดเห็นในด้านลบออก เพื่อแสดงความจริงใจในการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อผู้บริโภค
- มีการอัพเดต Facebook Page ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
- ไม่ควรมีการอัพเดตข้อมูลบนเพจแบบอัตโนมัตโดยใช้ RSS Feed (Really Simple Syndication) หรือการอัพเดทผ่าน Twitter เพราะแฟนเพจที่มาติดตามแบรนด์บน Facebook เพราะต้องการติดตามข่าวสารผ่าน Facebook เท่านั้น ซึ่งแบรนด์ควรแยกช่องทางในการอัพเดตข้อมูลอย่างชัดเจน
- เขียนไวยกรณ์และสะกดคำให้ถูกต้องทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดทัศนคติในด้านลบของผู้อ่าน
- มีการสำรวจถึงรูปแบบของเนื้อหาที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงสำรวจช่วงเวลาที่เหมาะในการโพสต์ข้อความผ่านการติดตามข้อมูลจาก Facebook Insight
- ให้ความสำคัญกับการ Like จากผู้ชม ซึ่งจำนวน Like ไม่เพียงแสดงถึงความนิยมของเนื้อหาที่นำเสนอเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการแสดงผลบนเสิร์ชเอนจินด้วยเช่นกัน
- ใช้ Facebook Ads มาช่วยในการทำโฆษณา
- โปรโมตหน้าเพจโดยการใช้ Promote Post ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานและผู้บริโภคที่หลากหลายยิ่งขึ้น
- อ้างอิง:http://thumbsup.in.th/2013/07/facebook-business-pages-socialmedia-infographic/ ******************************************************************* ซื้ออะไรให้สมองลูกดี สมมติว่า เรามีงบ 1 หมื่นบาทสำหรับซื้อของเล่น หรืออุปกรณ์พัฒนาฝึกสมองให้กับลูก เราจะซื้ออะไรดี หนู ดีโดนคำถามนี้บ่อยค่ะ อาจจะไม่ได้ตั้งงบมาให้ แต่เป็นการถามว่า “จะซื้อของเล่นอะไรให้ลูกดี ลูกถึงจะเป็นอัจฉริยะ” อันดับแรกเราคงต้องย้อนกลับไปดูนิยามคำว่า อัจฉริยะ ของแต่ละคนกันก่อน เพราะเราแต่ละคนมีนิยามคำนี้ไม่เหมือนกันแน่ๆ ก็คล้ายๆ กับคำว่า “รัก” นะคะ แต่ละคนก็นิยามแตกต่างกันไป ถ้าจะเอามาเปรียบเทียบกันได้ ก็ต้องให้แน่ใจก่อนว่า เรานิยามเหมือนๆ กัน
- สำหรับ หนูดีเอง คำนิยามนั้นอยู่ในหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” นั่นก็คือ อัจฉริยภาพของคนมีหลายด้าน และทุกคนมีแล้วในตัว ปัญหาคือ สำหรับหลายๆ คน มันซ่อนอยู่และไม่โชว์ตัวออกมาเป็นศักยภาพที่จับต้องได้เสียที
ตรง นี้ล่ะค่ะที่พ่อแม่และโรงเรียนจะต้องมีบทบาทเข้ามาพัฒนาเด็กๆ ร่วมกัน เพื่อให้เขาแสดงออกมาให้กับโลกภายนอกมองเห็นได้ แต่สำหรับหนูดีแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด “อัจฉริยภาพ” คือ ความสามารถในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาระดับเด็กๆ ที่แย่งของเล่นกัน หรือปัญหาระดับชาติ สิ่งนี้พัฒนาไปตามวัย และปัญหาก็ยากง่ายซับซ้อนขึ้นไปตามอายุของเราที่โตขึ้นมาดังนั้น การเลือกของเล่นพัฒนาสมอง มีกฎหลักๆ 3 ข้อสำหรับหนูดีค่ะ1. พ่อแม่ คือของเล่นราคาแพงที่สุดของลูก หากของเล่นชิ้นไหน พ่อแม่เล่นด้วยได้ พูดคุยสอนลูกไปด้วยได้ ของเล่นชิ้นนั้นจะนับว่าได้คะแนนสูง2. ของ เล่นต้อง “ไม่คิดมาให้เด็กแล้วทั้งหมด” นั่นก็คือ หากเป็นของเล่นที่ซับซ้อน มีการคิดกระบวนการเล่นไว้แล้วเสร็จสรรพ เด็กไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เล่นไปให้จบตามที่คนออกแบบของเล่นกำหนดไว้ ก็เพียงพอแล้ว อันนี้ ไม่สนับสนุนค่ะ เพราะจะเป็นการฝึกให้ลูกเราไม่ต้องคิด ฝึกให้เป็นผู้ตามอย่างเดียว ของเล่นมันสร้างสรรค์เกินจนกลายเป็นผู้นำของเด็กโดยไม่เจตนา
สังเกตว่า ของ เล่นแพงๆ มักอยู่ในกลุ่มนี้ค่ะ แถมมักจะเป็นกลุ่มเสียบปลั๊กใช้ไฟฟ้าด้วย เช่น เกมวิดีโอต่างๆ หรือเกมที่มีการเริ่มต้น กลาง จบที่ชัดเจน3. ระลึกไว้เสมอว่า ของ เล่นที่ดีคือ “เป็นของเล่นแค่ 10% ส่วนอีก 90% ต้องเป็นจินตนาการของลูก” เพราะจะฝึกให้เด็กได้ออกแบบวิธีเล่นเอง คิดและสร้างสรรค์เอง ของ เล่นประเภทนี้จะดูบ้านๆ มาก ราคาไม่แพง เช่น กิ่งไม้ ใบตอง เครื่องครัวดินเผา ม้าก้านกล้วย สาคู ถ้วยตวง หุ่นนิ้วมือ หุ่นมือ โรงหุ่นทำจากลังกระดาษ ลังกระดาษเปล่าๆ ฯลฯ หรือถ้าจะเล่นให้หรูขึ้นมาหน่อย ก็คือ ไม้บล็อคแบบไม้จริง อันนี้ หนูดียินดีให้ทุ่มทุนไปเลยค่ะ ซื้อมาหลายๆ เซ็ตแล้วให้ห้องเด็กเป็น “ห้องบล็อค” ไปห้องหนึ่งเลย ไม่ต้องรื้อแต่ให้เขาสร้างเพิ่มไปเรื่อยๆไม้ บล็อคช่วยสร้างกระบวนการคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะทักษะคณิตศาสตร์ เด็กที่เล่นบล็อคมาเยอะจะเข้าใจคอนเซปต์คณิต โดยเฉพาะเรื่องรูปทรงและปริมาตรเร็วมากจนน่าทึ่ง อีกสิ่งที่เล่นได้ดีไม่แพ้บล็อคคือ เลโก้ ต้องขอคารวะคนคิดค่ะ วิธีการเลือกง่ายดาย ยิ่งเด็กอายุน้อยเท่าไร ยิ่งต้องเลือกของเล่น หรือ พู่กัน ดินสอ แปรง ที่อันใหญ่ขึ้นเท่านั้น เพราะกล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรง ดังนั้น มีบล็อคและเลโก้เท่านั้น ที่เป็นของแพงแล้วมาอยู่ใน Category ของเล่นที่น่าเลือกลงทุนค่ะ
นี่ คือ คำแนะนำสำหรับเด็กเล็กในวัยอนุบาล ซึ่งในการพัฒนาสมองเด็กวัยนี้ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ไม่ควรให้เด็กมาเล่นเกมในมือถือของพ่อแม่ อย่าเห็นว่าน่ารักหากลูกวัยอนุบาลรับมือกับหน้าจอเป็น เล่นเกมนี้เกมนั้นได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะหน้าจอกับเด็กเล็กไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกัน สมองของเด็กจำเป็นต้องได้เรียนรู้จากของ “สามมิติ” คือ จับต้องได้ มีรูปทรง ไม่ใช่ของในหน้าจอส่วน วัยพี่ประถมนั้น หากมีงบ 1 หมื่น หนูดีจะลงทุน “ซื้อหนังสือ” ค่ะ แน่นอนว่า ในปัจจุบัน เราดาวน์โหลดในหน้าจอได้ แต่การอ่านหนังสือจากหน้าจอนั้นทำร้ายดวงตากว่าที่เราคิด แม้จะมีการโฆษณาว่า หน้าจอรุ่นใหม่ถนอมสายตาอย่างไรก็ตาม คนขายของก็ต้องบอกว่า ของเขาดีอยู่แล้ว แต่สำหรับหนูดีแล้ว สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้รับการพิสูจน์โดยงานวิจัยต่อเนื่องเกิน 10 ปีขึ้นไป ก็ขอไม่เชื่อถือไว้ก่อน เพราะไม่อยากเป็นหนูทดลอง*********************************************************พบ i-phone "กินไฟ"มากกว่าตู้เย็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเทคโนโลยีคิดใหม่ทำใหม่ นำสมาร์ทโฟนฮิตอย่างไอโฟน (iPhone) มาวิเคราะห์เพื่อวัดปริมาณการใช้พลังงานในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ปรากฏว่าความจริงน่าทึ่งจากการสำรวจนี้ คือไอโฟนมีค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าตู้เย็นขนาดกลาง 1 เครื่อง ถือเป็นแนวโน้มน่าเป็นห่วงเพราะภาพรวมการใช้พลังงานของสมาร์ทโฟนยังไม่มีวี่แววลดลงแม้แต่น้อย มีแต่ขาขึ้นซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนทำงานได้ยาวนานขึ้น และการใช้งานสมาร์ทโฟนแบบ “ตลอดเวลา” ชนิดไม่มีการปิดเครื่องบริษัทผู้ดำเนินการศึกษาจนพบว่าไอโฟนเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยมากกว่าตู้เย็นขนาดกลางหรือ midsize refrigerator คือบริษัทดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ป (Digital Power Group) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง โดยซีอีโอ “มาร์ก มิลส์ (Mark Mills)” ระบุว่าตู้เย็นขนาดกลางที่ได้มาตรฐานประหยัดไฟ Energy Star จากสำนัก Environmental Protection Agency จะใช้พลังงานราว 322 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kW-h) ต่อปี ขณะที่ไอโฟนใช้พลังงานประมาณ 361 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายจนต้องชาร์จไฟต่อเนื่องkW-h หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้นเป็นหน่วยวัดความสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า โดยสัญลักษณ์ 1 kW-hr จะหมายถึงกำลังไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 1 ชั่วโมง และหากต้องการกล่าวถึงเตารีดไฟฟ้าขนาด 2 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 3 ชั่วโมง จะสามารถเขียนได้ว่าเตารีดนี้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (ข้อมูลจากพจนานุกรมศัพท์ สสวท.)ไอโฟนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกังวลที่ดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ประบุในรายงานชื่อเต็มว่า “The Cloud Begins With Coal : Big Data, Big Networks, Big Infrastructure, and Big Power” รายงานฉบับนี้ต้องการสะท้อนให้โลกรู้ว่าระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมไอซีทีหรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้นกำลังเป็นต้นตอที่ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าของโลกสูงขึ้น โดยไม่เพียงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอที แต่ครอบคลุมทั้งระบบอีโคซิสเต็ม ซึ่งประกอบด้วยฟาร์มเซิร์ฟเวอร์ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกันหากนำข้อมูลปริมาณการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมต่างๆ บนโลกนี้มาเขียนเป็นแผนภูมิวงกลม จะพบว่าอุตสาหกรรมไอซีทีกำลังมีชิ้นพายที่ใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง จุดนี้ซีอีโอมิลส์ระบุว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมไอซีทีใช้พลังงานราว 10% ด้วยสถิติ 1,500 เทราวัตต์ชั่วโมง (1 เทราวัตต์ชั่วโมงหมายถึง 1 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง หรือ 10 ยกกำลัง 12 ถือเป็นหน่วยวัดปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กันในระดับโลก)ตัวเลขการใช้พลังงานระดับเทราวัตต์ชั่วโมงนี้ถือว่ามหาศาล เนื่องจากเพียง 1,000 วัตต์ชั่วโมงก็ถือเป็นพลังงานที่ทำให้เราสามารถชมภาพยนตร์ดีวีดี (DVD) ได้มากถึง 29 เรื่อง หรือการทำขนมปังปิ้งมากกว่า 100 แผ่น อย่างไรก็ตาม 1,000 วัตต์ชั่วโมงหรือ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมงนี้เพียงพอต่อการใช้งานโทรศัพท์ไร้สายเพียง 15 วันเท่านั้น หรือการเล่นวิดีโอเกมต่อเนื่องเพียง 5 ชั่วโมงรายงานเชื่อว่า ระบบอีโคซิสเต็มในอุตสาหกรรมไอซีทีจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพียงเพราะการใช้หลอดไฟส่องสว่างหรือเครื่องปรับอากาศในศูนย์ข้อมูลไอทีเท่านั้น แต่เป็นเพราะระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมไอซีทีนั้นไม่สามารถหยุดพักการทำงานได้ เช่นเดียวกับที่ชาวไอทีเริ่มไม่ปิดเครื่องสมาร์ทโฟนแม้ในเวลากลางคืนแถมเมื่อเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายอย่าง 3G และ Wi-Fi มีอิทธิพลมากขึ้น ปริมาณการใช้พลังงานก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่จำเป็นต้องขยายใหญ่ขึ้น โลกก็จะสูญเสียพลังงานไปมากขึ้นเป็นทวีคูณจุดนี้ซีอีโอมิลส์ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบสตรีมมิ่งภาพยนตร์ออนไลน์ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือสื่อความบันเทิงใดๆ ในขณะนี้ เป็นระบบที่เผาผลาญพลังงานมากกว่าการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องเดียวกันในรูปแบบแผ่นดีวีดีอย่างก้าวกระโดดบทสรุปที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจะเป็นทางออกของปัญหาการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นของวงการไอซีทีคือการหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทนถ่านหินซึ่งยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมไอซีทีจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้โลกหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่า เสถียรกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าได้ในระยะยาวได้ยินแบบนี้แล้ว ต่อไปเราชาวสมาร์ทโฟนควรจะคิดถึงปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กับอุปกรณ์ไอทีของตัวเองให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าไม่เพียงไอโฟน แต่สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นก็มีโอกาสกินไฟมากกว่าตู้เย็นไม่แพ้กัน**************************************************************[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] Gmail บริการฟรีอีเมล์ของ Google ที่ให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงการใช้บริการได้แบบฟรีๆ แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า google มีวิธีตรวจสอบความเคลื่อนไหวของการใช้ Gmail ของผู้ใช้ว่ามีทิศทางการใช้งานเป็นไปในรูปแบบใดบ้างหากการใช้ Gmail ของคุณส่อไปในทางหลอกหลวงหรือผิดกฎหมาย Google ก็มีสิทธิ์ "แบน" ได้โดยทันที ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้ Gmail ของคุณต้องโดนแบนล่ะก็ คุณห้ามทำสิ่งเหล่้านี้ ได้แก่1. ปลอมเป็นบุคคลอื่น หรือบิดเบือนความจริงอย่างที่ทราบดีว่าผู้ใช้ gmail มีอยู่จำนวนมาก ดังนั้นมันจึงเป็นช่องทางที่ก่อให้เกิดการกระทำอันส่อไปในทางหลอกหลวงกับผู้ใช้ gmail รายอื่นๆ ดังนั้นการปลอมเป็นบุคคลอื่นหรือบิดเบือนความจริง Google ก็ฉลาดพอที่จะตรวจบัญชีเหล่านั้นและทำการแบนบัญชีนั้นในที่สุด2. ขาย หรือแลกเปลี่ยนที่อยู่อีเมล์ของบุคคลที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาต3. ส่งอีเมล์ไม่พึงประสงค์ไปยังบัญชีที่คุณไม่รู้จัก4. ส่งต่อหรือแจกจ่ายเนื้อหาใดๆที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมายการให้บริการฟรีของ gmail สบโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีส่งอีเมล์ที่มีเนื้อหาส่อไปในทางลามก อนาจาร หรืออัปโหลดแจกจ่ายสิ่งที่ผิดกฎหมาย การกระทำนี้จึงไม่รอดจาก Google แน่นอน5. ส่งเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้เยาว์การส่งอีเมล์ที่มีเนื้อหารุนแรง, มีภาพอนาจาร และข้อความที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาจเป็นอันตรายกับผู้ใช้ที่เป็นเด็กหรืออายุยังน้อย6. การส่งต่อข้อมูลใดๆที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตการจะส่งข้อมูลใดๆอันเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการผิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งหากต้องการใช้ข้อมูลนั้นก็ควรต้องทำการขออนุญาตจากเจ้าของให้เรียบร้อยเสียก่อน7. รบกวนผู้ใช้ gmail รายอื่นจากบริการต่างๆ8. แสวงหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต9. ใช้ gmail เพื่อการแชร์ไฟล์ที่ผิดกฎหมายแบบ peer-to-peerหากคุณดาวน์โหลดเพลง, ภาพยนตร์ ที่ไม่ได้รับอนุญาต และแบ่งปันไฟล์นั้นๆในแบบ peer-to-peer ให้กับเพื่อนในบัญชีของคุณล่ะก็ บัญชีของคุณไม่รอดการโดนแบนเช่นกัน10. แก้ไขปรับเปลี่ยนหรือทำซ้ำในบริการของ Gmailหากคุณเป็นคนเก่งที่อยากมีระบบอีเมล์ของคุณ แต่คุณกลับก็อปปี้บริการที่เป็นไปในรูปแบบเดียวกับ gmail ล่ะก็ บัญชีของคุณไม่รอดโดนแบนแน่นอนจ้า*****************************************************25 พาสเวิร์ดยอดฮิตประจำปี 2012SplashData บริษัทผู้จัดหาระบบซอฟท์แวร์ให้โทรศัพท์มือถือ เปิดเผย 25 พาสเวิร์ดยอดฮิต ที่นิยมใช้กันมากในปีนี้ บางชื่อไม่น่าจะเป็นพาสเวิร์ดได้เลย แต่ก็มีผู้คนนิยมใช้ เพราะเป็นรหัสที่จดจำได้ง่าย แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกแฮคเกอร์เข้าไปโจรกรรมข้อมูลได้ง่ายด้วยเช่นกัน25 พาสเวิร์ดยอดฮิตประจำปี 2012 มีดังนี้1. password (ฮอตฮิตไม่เปลี่ยน)
2. 123456 (ฮอตฮิตไม่เปลี่ยน)
3. 12345678 (ฮอตฮิตไม่เปลี่ยน)
4. abc123 (ขยับขึ้น 1 อันดับ)
5. qwerty (ความนิยมลดลง 1 อันดับ)
6. monkey (ฮอตฮิตไม่เปลี่ยน)
7. letmein (ขยับขึ้น 1 อันดับ)
8. dragon (ขยับขึ้น 2 อันดับ)
9. 111111 (ขยับขึ้น 3 อันดับ)
10. baseball (ขยับขึ้น 1 อันดับ)
11. iloveyou (ขยับขึ้น 2 อันดับ)
12. trustno1 (ความนิยมลดลง 3 อันดับ)
13. 1234567 (ความนิยมลดลง 6 อันดับ)
14. sunshine (ขยับขึ้น 1 อันดับ)
15. master (ความนิยมลดลง 1 อันดับ)
16. 123123 (ขยับขึ้น 4 อันดับ)
17. welcome (ใหม่)
18. shadow (ขยับขึ้น 1 อันดับ)
19. ashley (ความนิยมลดลง 3 อันดับ)
20. football (ขยับขึ้น 5 อันดับ)
21. jesus (ใหม่)
22. michael (ขยับขึ้น 2 อันดับ)
23. ninja (ใหม่)
24. mustang (ใหม่)
25. password1 (ใหม่)ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถ้าใครใช้พาสเวิรด์แบบนี้อยู่ ทั้งในพาสเวิร์ดเกม อีเมล์ หรือที่ใช้กับบัญชีธนาคาร ให้รีบเปลี่ยนพาสเวิร์ดเสียโดยเร็ว ถ้าไม่อยากตกเป็นเป้าถูกโจรกรรมข้อมูลได้ง่ายส่วนการนำเอาวันเดือนปีเกิดตัวเอง เลขที่บ้าน ตลอดจนบัตรประชาชน มาตั้งเป็นพาสเวิร์ดก็ไม่ควร เพราะหัวขโมยมักจะสุ่มกดพาสเวิร์ดจากตัวเลขเหล่านี้เป็นหลัก ดังนั้นจึงควรตั้งพาสเวิร์ดที่ซับซ้อนหน่อย และเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไม่ใช่ข้อมูลส่วนตัว
อ้างอิง:http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/general_knowledge/13617/
******************************************************
[เอ.อาร์.ไอ.พี, http://www.arip.co.th/] ปัจจุบันนี้ คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กระแสของ fanpage บน facebook นั้น มาแรงเสียจนเรียกว่า ทุกๆร้านค้า ทุกๆองค์กร ต้องมีไว้เพื่อสื่อสารกับลูกค้า แม้แต่ fanpage ที่เป็นกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันทั้งแบบที่ทำจริงจัง และแบบที่เน้นความบันเทิง สนุกสนาน ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ ไม่อยากจะลองมาสร้าง fanpage ของคุณเองบ้างหรือ? ถ้าหากสนใจ วันนี้เรามี 5 Steps แสนง่ายมาฝากกันครับ
1.Select : เลือกประเภทให้ตรงกลุ่ม
ก่อนที่จะเริ่มสร้าง fanpage ต้องมานั่งคิดซักนิดนึงว่า fanpage ของคุณ จะจัดอยู่ในประเภทใด เพราะการเลือกประเภทให้ถูกต้อง ก็มีผลกับการจัดหมวดหมู่บนหน้า facebook และไม่ทำให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็น fan ไม่สับสนอีกด้วย แน่นอนว่าหากเปิดห้างร้านขายสินค้า หรือ เป็นองค์กร ย่อมจะกำหนดประเภทได้ง่ายดายกว่าการเปิด fanpage ขึ้นมาในเฉพาะเรื่องที่เราสนใจ ดังนั้นต้องกำหนดเป้าหมายและทิศทางของ fanpage ไว้แต่เนิ่นๆ สำหรับการสร้าง fanpage เริ่มต้นให้ไปที่ http://www.facebook.com/pages/create.php จากนั้นเลือกประเภท และหมวดหมู่และตั้งชื่อ fanpage ที่ต้องการ แล้วกด Get Started
2.Upload : เลือกรูปภาพโปรไฟล์
รูปภาพโปรไฟล์นั้นสำคัญรองลงมาจากชื่อ fanpage เพราะเป็นส่วนที่เห็นได้อันดับแรกและสามารถประกาศตัวตนของ fanpage ของคุณเองได้เป็นอย่างดี ควรเลือกรูปที่ไม่รก ดูไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และสื่อถึงจุดประสงค์ของ fanpage
3.Invite : ชวนเพื่อนมาร่วม Like
แน่นอนว่าวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะดึงคนมาให้สนใจ fanpage ของคุณ ก็คือการเริ่มชักชวนจากเพื่อนๆของคุณก่อน เพราะหากเป็นการเริ่มต้นชักชวนจากคนที่คุณสนิทสนมก็เป็นการง่ายที่จะเพิ่มจำนวนคนที่จะเข้ามาใน fanpage ของคุณ และเมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณกด Like แล้ว มีโอกาสสูงที่เพื่อนของเพื่อนของคุณจะเห็นและตามเข้ามาในหน้า fanpage ของคุณด้วยเช่นกัน
4.Add Info : ใส่ข้อมูลให้ครบถ้วน
ปัจจุบัน fanpage มีอยู่มากมาย การที่จะทำให้ไม่เกิดความสับสนจึงตกไปอยู่ที่ข้อมูลที่จะปรากฏบนหน้า fanpage รวมไปถึงหากมีข้อมูลประกอบครบถ้วน ย่อมส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของ fanpage ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงควรใส่ข้อมูลที่คิดว่าผู้ที่ต้องการเข้ามาเป็น fan อยากรู้มากที่สุด เช่น จุดประสงค์ของ fanpage เว็บไซต์ หรือ ที่อยู่ เป็นต้น
5.Communicate : สื่อสารกับแฟนๆ
จากข้อ 1 - 4 คุณก็จะได้หน้า page ที่สมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับการที่จะสื่อสารกับเหล่าแฟนๆ บน fanpage ของคุณ ซึ่งไม่ได้มีกฏตายตัวว่าจะต้องสื่อสารไปในทางใด ไม่ว่าจะแบบทางการ หรือ เหมือนเพื่อนพูดคุยกับเพื่อนก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของ fanpage ของคุณเอง ประเด็นที่สำคัญ คือการที่คอยสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ และรักษาเป้าหมายของ fanpage ที่ตั้งเป้าหมายไว้
บทความน่าสนใจ Page
บทความที่นำมาเสนอในวันนี้มาจากเว็บไซต์ Lyubcho.com ที่ได้รวบรวมเคล็ดลับหลากหลายที่น่าสนใจเกี่ยวกับทำ Facebook Page รวมไว้ทั้งหมด 20 ข้อ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับธุรกิจหรือแบรนด์ที่กำลังทำ Facebook Page อยู่ในเวลานี้ ให้ลองนำไปปรับใช้เพื่อจัดการกับ Facebook Page ให้มีประสิทธิภาพและถูกใจแฟนเพจมากยิ่งขึ้น โดยเคล็ดลับทั้ง 20 ข้อ ประกอบด้วย